ความรุนแรงชะงักพัฒนาการเด็ก
เมื่อความรุนแรงในครอบครัวหรือสังคม คนเรามักเข้าใจผิดคนที่ก่อเรื่องว่าเป็นตัวปัญหา แต่จริงๆ แล้ว ปัญหาเกิดจากความไม่เข้าใจกัน ไม่สามารถสื่อสารบอกความต้องการกันจนไม่สามารถจัดการปัญหาระหว่างคน 2 ฝ่ายได้
พญ.ปราณี เมืองน้อย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขให้ความเห็นว่า
ความรุนแรงในครอบครัวเกิดผลกระทบต่อเด็กมากมาย ความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นของพ่อแม่ทำให้เด็กไม่มีตัวอย่างดีๆ ในการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น บางครั้งเด็กอาจรับบทบาทดูแลรับผิดชอบพ่อแม่ที่มีปัญหาทางอารมณ์แทนที่ตนเองจะเป็นผู้ที่ได้รับการปกป้องโดยพ่อแม่ ทำให้เด็กกลายเป็นโตเกินวัย ต้องรับผิดชอบงานบ้านและดูแลน้องแทนพ่อแม่มากเกินวัยที่ควรได้วิ่งเล่นสนุกสนาน ทำให้เด็กมักแยกตัวจากสังคมหรือเพื่อนวัยเดียวกัน จะกระทบต่อความอยู่ดีมีสุขและพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กอย่างมากมาย ทั้งด้านร่างกาย พฤติกรรม อารมณ์ สังคมเด็กมักตกอยู่ในความกลัวตลอดเวลา รู้สึกเป็นความผิดของตนเอง
อาการทางกาย : มักเป็นผลต่อเนื่องจากความรู้สึกสิ้นหวัง ซึมเศร้า จนทำให้เด็กมีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง การทำงานของระบบทางเดินอาหารปั่นป่วน หงุดหงิดง่าย สมาธิไม่ดี เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง อาจหลับในห้องเรียนเพราะอดนอนที่บ้าน สุขอนามัยเด็กกลุ่มนี้มักไม่ดี เด็กหลายคนมักโดนลูกหลงจากการที่พ่อแม่ทะเลาะหรือทำร้ายกัน วัยทารกมักเลี้ยงยาก ร้องไห้งอแง ปลอบยาก เนื่องจากขาดความผูกพันทางอารมณ์หรือทางกายต่อผู้เลี้ยงดู ทำให้พัฒนาการล่าช้าได้
เด็กโต มักแยกตัว เงียบ หรืออาจมีพฤติกรรมถดถอย อ้อนหรืออาละวาด ก้าวร้าว อาจมีความวิตกกังวล กลัวถูกทิ้ง ไม่มีความภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกผิด โทษตัวเองเรื่อยๆ หรือหวาดผวาง่าย ตกใจกลัวเสียงเล็กๆ น้อยๆ ฝันร้าย นอนไม่หลับ เด็กหลายรายอาจมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งสุขนิสัยการกิน การนอนหรือการขับถ่าย ฝันร้าย ปัสสาวะรดที่นอน ไม่ไว้วางใจผู้ใหญ่หรือคนอื่นๆ ทำให้สร้างสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ยาก
วัยรุ่น อาจมีปัญหาการเรียนไม่ดี หรือติดสารเสพติด มักแก้ปัญหาโดยความก้าวร้าว โทษคนอื่นและอาจหนีออกจากบ้าน เด็กมักรู้สึกตนเองหมดหนทาง ไม่มีพลังอำนาจ ในเด็กหญิงมักเก็บกดและซึมเศร้า แต่เด็กชายมักแสดงความก้าวร้าว การสัมผัสความรุนแรงในบ้านทำให้เด็กรับรู้ว่าในโลกนี้ไม่มีความปลอดภัยและตัวเขาเองไม่มีคุณค่าพอที่จะได้รับการปกป้องให้ปลอดภัย นำไปสู่อารมณ์โกรธหรือซึมเศร้า
เด็กที่ตกอยู่ท่ามกลางความรุนแรง จะรับรู้ถึงความไม่ปลอดภัยและไม่มั่นคงในชีวิตตนเอง นอกจากนี้เด็กมักชาชินกับความรุนแรง ทำให้เลียนแบบความก้าวร้าว คุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ไม่ไว้วางใจผู้อื่น บางคนอาจเข้าร่วมกลุ่มที่ก้าวร้าวเกเรเด็กเล็กที่เผชิญกับความก้าวร้าว มักไม่สามารถสร้างความรักความผูกพันกับผู้ดูแลได้ ตื่นเต้นตกใจง่ายและมักเก็บตัว ไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็น ไม่ค่อยสนใจสิ่งแวดล้อม
เด็กเตรียมอนุบาลหรือวัยอนุบาล จะยังไม่เข้าใจความหมายของการกระทำทารุณ ทำให้เด็กมักคิดว่าเกิดจากการที่ตนเองทำสิ่งใดผิด และเนื่องจากวัยนี้ยังไม่สามารถพูดบอกความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจน ทำให้แสดงออกเป็นปัญหาพฤติกรรมแทน โดยมักแยกตัว เงียบ หรือแสดงพฤติกรรมถดถอย ขี้อ้อน ขาวีน เลี้ยงยาก มีปัญหาทั้งการกินหรือการนอน เช่นเลือกกินมาก ไม่อยากนอน ติดคนเลี้ยงมากกว่าปกติ
เด็กอ่อน ขวบปีแรก อาจแสดงอาการ ร้องงอแง เลี้ยงไม่โต ป่วยบ่อย สะดุ้งตกใจง่าย ไม่ค่อยนอน เด็กบางรายอาจโดนทั้งสองเด้ง นั่นคือ ผจญกับความรุนแรงในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ แล้ว เด็กส่วนใหญ่ที่อยู่ในสภาพนี้ก็มักถูกทำร้าย ถูกทารุณหรือถูกละเลยไปด้วย
ผลกระทบระยะยาว อาจทำให้เด็ก เรียนไม่จบ ท้องตั้งแต่วัยรุ่น ติดสารเสพติด ก่อปัญหาสังคมหรืออาจถึงขั้นซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย เด็กแต่ละคนมีปฏิกิริยาต่อความรุนแรงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอายุ ความคิด ความรู้สึก ความรุนแรงของเหตุการณ์ ความใกล้ชิดหรือความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ระยะเวลาที่เผชิญกับความรุนแรง ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้กระทำหรือผู้ที่ถูกกระทำ ควรเปิดโอกาสให้เด็กบอกเล่าถึงความกลัว ความรู้สึก โดยไม่ตัดสินเขา บอกให้เขาทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา พยายามให้เขามีโอกาสทำกิจกรรมตามวัยสอนให้เด็กหามุมปลอดภัยหรือมุมสงบสำหรับผ่อนคลายเมื่อเขาเกิดความรู้สึกท่วมท้นจากสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น มุมหนังสือสบายๆ มุมเงียบๆ สำหรับฟังเพลง พญ.ปราณี กล่าวทิ้งท้าย
สสดย. เรียบเรียง