20 เทคนิคง่ายๆ ในการให้นมลูก
การให้นมลูกจริงๆ แล้วเป็นเรื่องใกล้ตัวค่ะ แถมแค่รู้เคล็ดนิดเดียวก็สามารถหยิบไปปรับใช้ให้เข้ากับปัญหาของตัวเองได้เลย
20 เทคนิคง่ายๆในการให้นมลูกค่ะ
1.บทเรียนแรกจากโรงพยาบาล ทุกโรงพยาบาลจะมีพยาบาลคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีพื้นฐานในการให้นมลูก อย่าปล่อยให้ช่วงเวลานี้ผ่านไป ควรที่จะศึกษาเรียนรู้ความรู้เกี่ยวกับการให้นมลูกจากโรงพยาบาลให้มากที่สุดก่อนจะกลับบ้าน
2.ลืมเรื่องเวลาไปได้เลย อย่ากังวลจนต้องคอยดูนาฬิกาบ่อยๆ แล้วใช้สัญชาตญาณช่วยในการให้นมลูก เช่น เมื่อลูกน้อยดิ้นหรือร้องไห้เราสามารถให้นมลูกอีกได้ แม้ว่าเพิ่งจะให้ไปหยกๆ ก็ตาม
3.เคล็ดลับสำคัญคือการผ่อนคลาย สำหรับคุณแม่มือใหม่ความตื่นเต้น ความกลัวต่างๆ อาจจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ยาก ซึ่งแก้ได้โดยใช้ทัศนคติที่ว่า นี่คือสิ่งที่ทั้งคุณแม่และลูกน้อยกำลังเรียนรู้ไปด้วยกัน
4.ดื่มน้ำอุ่นก่อนให้นม น้ำอุ่นๆ จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เลือดไหลเวียนได้ดีเป็นการกระตุ้นให้น้ำนมไหลได้ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง และถ้าดื่มก่อนให้นมทุกครั้งอาจจะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ร่างกาย ทำให้น้ำนมไหลได้ดีขึ้นอีกด้วย
5.กินผักใบเขียวให้มากขึ้น ในผักใบเขียวมีแมกนีเซียม ซึ่งมีการวิจัยพบว่าปริมาณแคลเซียมและแมกนีเซียมในร่างกายที่พอเพียงมีผลต่อกลไกน้ำนมพุ่ง ดังนั้นนอกจากกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง จำพวก นม ไข่ ปลา ยอดแค ผักสะเดา แล้วยังควรกินผักใบเขียวเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณแมกนีเซียมในร่างกาย เช่น อาหารเรียกน้ำนมยอดฮิตของคนไทยอย่างแกงเลียงก็เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยผักใบเขียว
6.อาบน้ำอุ่นคลายความเจ็บระบม บางครั้งเต้านมคัดจนเจ็บระบมไปหมด การอาบน้ำอุ่นจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ความเจ็บและระบมของเต้านมได้ค่ะ
7.ให้คุณพ่อมีส่วนช่วย ช่วงที่มีการฝึกให้นมลูกที่โรงพยาบาล ควรให้คุณพ่อได้เข้าไปมีส่วนฝึกด้วย เพื่อให้คุณพ่อรู้วิธีในการช่วยคุณแม่ให้นมลูก จนกว่าคุณแม่จะสามารถเอาลูกกินนมได้เอง
8.น้ำนมเป็นยา เวลาที่หัวนมแห้ง หรือเป็นแผลเจ็บระบม ยาที่ดีที่สุดก็คือน้ำนมแม่นี่เอง เมื่อคุณแม่ให้นมลูกเสร็จ บีบน้ำนมออกมาเล็กน้อยแล้วทาให้ทั่วหัวนมจะช่วยให้หัวนมชุ่มชื้น ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นค่ะ
9.อย่าปล่อยให้ลูกหิวมากเวลาหัวนมเป็นแผล เด็กบางคนดูดนมได้แรง และกินนมมากจนหัวนมของคุณแม่เป็นแผล ดังนั้นช่วงไหนที่หัวนมเป็นแผล คุณแม่ไม่ควรจะปล่อยให้ลูกหิวนมมาก ควรจะสังเกตลูก ถ้าลูกน้อยมีสัญญาณว่าเริ่มจะหิวนม ควรป้อนแกทันที ลูกจะได้ไม่ดูดนมแรง แผลของคุณแม่ก็จะไม่เจ็บมากนักและหายเร็วขึ้น
10.อ่านมาก รู้มาก มั่นใจขึ้น ถ้ารู้ข้อมูลเกี่ยวกับการให้นมก่อนจะต้องให้นมจริงๆ จะช่วยให้แม่ได้ค้นพบแนวทางการให้นมใหม่ๆ มาปรับใช้ ทั้งยังทำให้มั่นใจ และไม่กังวลใจด้วยค่ะ
11.หาเวลามีความสุขและผ่อนคลาย เวลาที่คนเรามีความสุข สมองจะหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟีนออกมา ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวด ดังนั้นถ้าคุณแม่มีปัญหาเต้านมระบบ หัวนมเป็นแผล ควรหาเวลาผ่อนคลายให้มากๆ
12.ใช้น้ำแข็งช่วย ช่วงแรกที่ลูกหัดดูดนมแล้วงับหัวนมได้ยาก ให้ใช้น้ำแข็งวางประคบหัวนมสักพัก ความเย็นจะทำให้หัวนมชันขึ้น และลูกจะงับหัวนมได้ดีขึ้น
13.ลืมสบู่ไปได้เลย ช่วงให้นมลูก ควรงดใช้สบู่ทำความสะอาดหัวนม ใช้เพียงน้ำเปล่าก็เพียงพอแล้ว เพราะสบู่จะทำลายความชุ่มชื้นและไขมันที่เคลือบหัวนมตามธรรมชาติ ซึ่งไขมันนี้มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอ่อนๆ ได้
14.ลูกกินนมแล้วหลับไปพร้อมกับงับหัวนมไม่ยอมคาย อย่าดึงหัวนมออกจากปากลูกทันที เพราะจะทำให้หัวนมเป็นแผล ให้ใช้นิ้วก้อยสอดเข้ามุมปาก เพื่อให้ปากลูกคลายจากการดูด แล้วจึงค่อยๆ ดึงหัวนมออก
15.รับอากาศบริสุทธิ์ ระหว่างที่ลูกไม่ได้ดูดนม ควรเปิดหัวนมให้ได้รับอากาศถ่ายเทบ้าง และถ้าเป็นไปได้การให้หัวนมได้รับแดดอ่อนๆ ก็จะทำให้หัวนมมีสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน
16.คุยกับคนที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การแบ่งปันประสบการณ์กับคนที่เคยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หรือคนที่กำลังให้นมเช่นเดียวกัน จะเป็นการสร้างกำลังใจ ช่วยให้มั่นใจขึ้น และบางครั้งอาจจะได้คำแนะนำที่มีประโยชน์กับตัวเราเพื่อนำมาปรับใช้กับการให้นมลูกด้วยค่ะ
17.น้ำนมไหลซึมเปื้อน คุณแม่บางคนมีน้ำนมไหลซึมเปื้อนอยู่ตลอดเวลา ควรมีผ้ารองซับน้ำนมที่แห้งสะอาดติดตัวไว้ตลอดเวลาไว้คอยเปลี่ยน ซึ่งควรเปลี่ยนบ่อยๆ ไม่ควรปล่อยให้เปียกชื้นนานๆ เพราะจะทำให้หัวนมระคายเคืองหรือเป็นแผลได้
18.พุ่งความสนใจที่ตัวลูก เวลาให้นมลูกควรงดกิจกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดูโทรทัศน์ หรือคุยโทรศัพท์ มุ่งความสนใจอยู่ที่ลูก และคิดเสมอว่าจะทำให้ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับทั้งแม่และลูก
19.ประคบร้อนสลับเย็น ถ้าเต้านมคัดมากๆ ใช้ผ้าเช็ดตัวแช่น้ำเย็นสลับกับแช่น้ำร้อน ประคบร้อนเย็นสลับกันไปจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้
20.ความอุ่นเรียกน้ำนม ก่อนการให้นมเล็กน้อยควรใช้ผ้าอุ่นๆ วางบนเต้านม จะใช้เป็นผ้าชุบน้ำอุ่น หรือใช้วิธีอาบน้ำอุ่นๆ ก็ได้ ความอบอุ่นจะช่วยให้การไหลของน้ำนมดีขึ้น
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : นิตยสารรักลูก